โดยพันธะเคมีประกอบด้วย
1.พันธะไอออนิก
2.พันธะโควาเลนต์
3.พันธะโลหะ
4.พันธะไฮโดรเจน
5.พันธะ (แรง) แวนเอร์วาลล์
อะตอมมักจะมีอิเลคตรอนเชลล์ (electron shells) ใกล้เคียงกัน นั่นคือมีความโน้มเอียงที่อยู่ในสถานะการที่ทุกวงโคจร (orbit) ได้รับการเติมอิเล็คตรอน ตัวอย่างเช่น อะตอมโซเดียมที่มีอิเลคตรอนหนึ่งอยู่นอกเชลล์ที่เติมอิเล็คตรอนแล้ว มีทางที่อิเลคตรอนนี้จะหลุดออกไปได้ง่าย ในทำนองเดียวกันที่ครอรีน ซึ่งมีอิเล็คตรอน 7 ตัว (มีอิเลคตรอนน้อยกว่าอยู่ 1 อิเลคตรอนของเชลล์นั้นหรือขาดอิเลตรอนไป 1 ตัวในการเติมเต็มเชลล์) ดังนั้นที่เชลล์วงนอกจึงมีทางที่จะรับอิเลคตรอนตัวหนึ่งเข้ามาในเชลล์
ในพันธะเคมีแบบไอโอนิก (ionic bond) อะตอมหนึ่งให้อิเลคตรอน และอีกอะตอมรับอิเลคตรอนมา ตัวอย่างเช่นในการเกิดเกลือแกง (table salt) หรือโซเดียมคลอไรด์ (sodium cloride) อะตอมโซเดียมจะให้อิเล็คตรอน และอะตอมคลอไรด์รับอิเลคตรอน เพราะการส่งผ่านประจุแบบถ้าวรลักษณะนี้ อะตอมทั้งสองดังกล่าวที่เกี่ยวข้องจึงอยู่ในสภาพที่เป็นอิออน (ions) แต่ละอะตอมจะมีประจุไฟฟ้าของตัวเอง ทำให้มีแรงดึงดูดระหว่างสองอะตอมดังกล่าวนี้ ด้วยแรงดึงดูดนี้ทำให้ทำให้เกิดการเชื่อมรวมอะตอมเข้าด้วยกัน โดยดึงมวลสารมาอยู่ด้วยกันการจัดรวมในลักษณะนี้เรียกว่าพันธะไอโอนิค

โดยทั่วไปไอโอนิคบอนประกฏในสารอนินทรีย์ และยึดสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันเช่นหิน และผลึกเข้าด้วยกัน
พันธะเคมีอีกชนิดหนึ่งคือพันธะโควาเลนซ์ (covalent bond) ที่มีอิเลคตรอนหนึ่งแลกเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วระหว่าง 2 อะตอม เป็นผลให้อะตอมใช้อิเล็คตรอนร่วมกัน และกระบวนการในการใช้ร่วมกันทำให้มีการยึดอะตอมเข้าด้วยกัน
ในอะตอมที่พบทั่วไปที่สร้างโควาเลนซ์บอนคือคาร์บอนที่มีอิเลคตรอน 4 ตัวที่เชลล์วงนอก เป็นพันธะเคมีชนิดนี้เกือบทั้งหมดที่ยึดรวมสารอินทรีย์เข้าด้วยกัน เนื้อเยื่อในร่างกายของเรายึดรวมกันส่วนใหญ่โดยพันธะเคมีแบบโควาเลนซ์

1. ให้เขียนอะตอมทั้งหมดให้อะตอมที่เกิดพันธะกันอยู่ใกล้กัน
2. หาจำนวน Valence e- ทั้งหมด ซึ่งก็คือ ผลรวมของ Valence e- ของอะตอมทุกอะตอมรวมกันและให้พิจารณา ไอออนบวก ซึ่งต้องนำจำนวนประจุไปลบออกไอออนลบ ซึ่งต้องนำจำนวนประจุไปเพิ่ม
3. ใส่จุดแทน Valence e- รอบอะตอมเป็นคู่ ๆ โดยจัดให้แต่ละอะตอม มีจำนวนอิเล็กตรอนล้อมรอบครบ 8 ตัว(ยกเว้น H = 2 Be = 4 B = 6 )
4. ในกรณีที่ใช้ Valence e- จนหมดแล้ว แต่อะตอมยังไม่ครบ 8 ตัว จะหมายถึงได้ว่า อาจต้องมีพันธะคู่ หรือพันธะสามเกิดขึ้น
5. กรณีที่มีอะตอม 3 ตัว อะตอมที่จะต้องอยู่ตำแหน่งกลาง คือ อะตอมที่มีค่าอิเล็กโตรเนกะติวิตี้ต่ำ

พันธะที่เกิดขึ้นหนึ่งพันธะแทนด้วยจุด 2 จุด หรือหนึ่งเส้น ( ______ )
อิเล็กตรอนที่เกี่ยวกับการสร้างพันธะ เรียกว่า bonding electron
อิเล็กตรอนที่ไม่เกี่ยวกับการสร้างพันธะ เรียกว่า non-bonding electron
ชนิดของพันธะเคมี
Ä การปรับตัวให้เสถียรที่เกิดจาก Þ การให้-รับ Valance e-
A + B ® A+B- Þ เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างประจุต่างชนิด
ก่อให้เกิดแรงยึดเหนี่ยวที่เรียกว่า
พันธะไอออนิก(ionic bond)
A + B ® A-B Þ เกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมที่เรียกว่า
พันธะโควาเลนต์(covalent bond)
พลังงานพันธะและความยาวพันธะ
พลังงานพันธะ (bond energy) หมายถึงพลังงานที่แยกอะตอมที่มีพันธะกันออกจากกัน ซึ่งจะบอกถึงความแข็งแรง ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนในพันธะได้ สำหรับโมเลกุลที่มีหลายพันธะ จะมีพลังงานที่ใช้สลายพันธะในแต่ละพันธะไม่เท่ากัน
ความยาวพันธะ (bond length) หมายถึง ระยะระหว่างนิวเคลียสของ 2 อะตอม ที่อยู่ติดกันในโมเลกุลโควาเลนต์ ซึ่งจัดเป็นค่าเฉลี่ย ของระยะสั้นที่สุดกับระยะที่ยาวที่สุด โดย
ความยาวพันธะ ของอะตอมชนิดเดียวกัน จะเท่ากับ 2 เท่าของรัศมีโควาเลนต์
ความยาวพันธะ ของอะตอมต่างชนิดกัน จะเท่ากับผลบวกของรัศมีโควาเลนต์
ในการเกิดพันธะเคมี จะเกี่ยวข้องกับพลังงาน 2 ประเภท คือ
- พลังงานสลายพันธะ DH + (ดูดพลังงาน)
Ä เช่น H-Cl H+Cl DH = 431 kJ
- พลังงานสร้างพันธะ DH - (คายพลังงาน)
Ä เช่น H+Cl H-Cl DH = -431 kJ
ในปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นจากการให้สารทำปฏิกิริยากันแล้วได้สารใหม่เป็นโมเลกุลโควาเลนต์นั้น จะดูว่าเป็นปฏิกิริยาดูดหรือคายความร้อน ให้พิจารณาค่าของพลังงาน
พลังงานที่ใช้สลายพันธะ > พลังงานที่ใช้สร้างพันธะ ® ดูดความร้อน
พลังงานที่ใช้สลายพันธะ < พลังงานที่ใช้สร้างพันธะ ® คายความร้อน Ä จำง่ายๆ Þ สร้างคาย, สลายดูด
ประโยชน์ของพลังงานพันธะ
บอกความแข็งแรงของพันธะ Þ ถ้าพลังงานพันธะมาก แสดงว่า พันธะนั้นแข็งแรงมาก
บอกความไวในการทำปฏิกิริยา Þ ถ้าพลังงานพันธะมาก แสดงว่า พันธะนั้นแข็งแรงมาก
Ä เกิดปฏิกิริยาได้ยาก ความว่องไวในการทำปฏิกิริยาจึงมีน้อย
ใช้ในการคำนวณค่าพลังงานในปฏิกิริยาเคมี